กฎทองของการขายของใน Facebook


ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลองเริ่มต้นธุรกิจขายสินค้าบน Facebook บทความนี้จะสามารถเป็นไกด์นำทางที่พาคุณไปถึงฝันได้อย่างไม่ยาก เนื้อหาด้านล่างนี้ประกอบด้วยสิ่งที่คุณควรรู้ในการเริ่มต้น และที่ขาดไม่ได้คือกฏทองคำที่คุณควร-ไม่ควรทำหากจะทำงานบนเครือข่ายสังคมสุดฮอตอย่าง Facebook


เริ่มต้นขายสินค้าบน Facebook แบบ limited
บทความโดย @darkmasterxxx
  • ทานข้าวก็ post รูป link มา Facebook
  • ไม่สบายก็ผ่าน Facebook
  • งอนแฟนก็ประกาศผ่าน Facebook
  • ไปเที่ยวไหน ก็ยังมี link check-in เข้ามาที่ Facebook
หากจะบอกกว่าชีวิตของคนเราทุกวันนีี้อะไรก็เกี่ยวข้อง Facebook ทุกอย่างก็คงไม่ผิดนัก เรียกได้ว่า Facebook คือช่องทางที่ทุกคน ทุกวัน ทุกกลุ่มต่างก็ใช้ มีการวนเวียนเข้ามา ผมเชื่อว่าต่อให้ไม่ค่อยเล่นยังไงก็ตาม แต่สัปดาห์หนึ่ง ก็ต้องมีเข้ามา check Facebook สักครั้ง

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มีคนหันมาทำการค้าบน Facebook มีทั้งแบบที่ทำเป็นจริงเป็นจัง ทำเล่นๆ หรือ แม้กระทั่งเริ่มทำ ซึ่งเราจะแยกออกได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ  
  1. ทำผ่าน profile account แบบนี้หลายคนมองว่าไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ได้ทำการค้าอย่างจริงจัง ต่างกับอีกแบบ ที่เรียกว่า
  2. ทำผ่าน Facebook page เนื่องจากว่า แบบนี้จะเป็นการเปิด page ขึ้นมาเลย เพื่อทำอะไรบางอย่าง ที่มีเป้าหมาย หลายคนจึงมองว่า "นี่แหละมืออาชีพ" ซึ่งการทำผ่าน Facebook page นั้นจะทำอะไรได้กว้างกว่า profile page ครับ เพียงแต่ต้องกำหนด direction ในการเปิด page ขึ้นมาด้วย
เอาจริง ๆ สำหรับมือใหม่เพิ่งเริ่มต้นนั้นผมไม่แนะนำ Facebook page สักเท่าไหร่ แต่จะยกตัวอย่างมาให้เห็นภาพและเข้าใจคร่าวๆ ว่าการทำผ่าน Facebook page นั้น แบ่งออกได้เป็นสามแบบหลัก ๆ คือ
      
       1. Service Page สำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือช่องทางการขายอื่นอยู่แล้ว อย่างเช่น page ของ Gamming Oasis page แบบนี้ส่วนใหญ่จะไม่ได้เน้นขายผ่าน Facebook ครับ แต่มีไว้ update ข้อมูลข่าวสาร หรือตอบปัญหาช่วยเหลือลูกค้าเสียมากกว่า
      
       2. Comunity Page สำหรับธุรกิจที่มีการ rotate สินค้าบ่อย หรืออัตราการซื้อซ้ำต่อคนสูง และมี Facebook page ไว้ update สินค้าใหม่ หรือให้ลูกค้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
      
       ตัวอย่างเช่น McDonald's แม้ว่าจะไม่ได้มีสินค้าออกใหม่ถี่นัก แต่สิ่งที่ออกมาถี่คือ promotion ต่างๆ การใช้ Facebook เพื่อบอกข้อมูลแค่ subscriber จึงค่อนข้างรวดเร็ว active ได้บ่อย และ fan ก็มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกันใน comunity ได้ว่า ดีหรือไม่? อย่างไร?
      
       3. Sale & Catalogue Page วันนี้หลายธุรกิจเลือกที่จะไม่มีหน้าร้าน ไม่มีเว็บไซต์สำหรับขาย แต่ใช้ Facebook เป็นช่องทางขายเลย เพราะว่าไม่มีค่าบำรุงรักษาร้าน เพียงแค่จัดเนื้อหาให้ดีก็เพียงพอ ซึ่งเมื่อดูให้ดี page แบบนี้มีความต่างกับสองแบบแรกอยู่นิดหน่อย ซึ่งเป็นความต่างที่สามารถนำ page ลักษณะนี้มาใช้สนับสนุน page 2 แบบแรกได้ดี เพราะธุรกิจสามารถใช้รูปสินค้าหลายชนิดของตัวเอง มาใส่ไว้ใน album Facebook ให้ลูกค้าได้ดูได้เลือก

นอกจาก page สิ่งที่สำคัญสำหรับการ "เริ่มต้น" ของผู้ที่คิดจะทำธุรกิจบน Facebook หน้าใหม่ ซึ่งเน้นการขายสินค้าผ่าน Facebook ที่ไม่ใช่แบบมืออาชีพ คือการทำธุรกิจผ่าน profile account

คนที่อยากลอง หรือคนที่อยากทดสอบตลาดก่อนเพื่อตัดสินใจว่าควรทำธุรกิจแบบจริงจังหรือไม่ ผมขอแนะนำว่าไม่ควรทำผ่าน Facebook page เพราะต้องตั้งใจทำและมีการวางแผนที่มากกว่า ใช้เวลามากกว่า แต่ควรหันไปที่ profile account เพราะการทำธุรกิจผ่าน profile account เป็น first step ที่ใครก็ทำได้ง่ายและรวดเร็ว
       
การทดลองทำธุรกิจผ่าน profile account มีข้อดีอยู่หลายประการด้วยกันครับ เริ่มตั้งแต่เราไม่ต้องลงทุนกับ maintainence cost ในการบริการ fanpage เราทำเองคนเดียว เราดูแลของเราเอง traffic การไหลแต่ละวันไม่สูงมาก จัดการง่าย maintain ง่าย ไม่ต้องใช้ team งาน ไม่ต้องจ้างใครมาดูแล
       
ขณะเดียวกัน เรามี channel ในการหาลูกค้าอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องไป draw คนมา like ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าเราเป็น fanpage หมายความว่า เราต้อง share page นั้นไปให้เพื่อนของเราเห็น ให้เพื่อน ๆ เรามากด like ให้เพื่อน ๆ เรา ช่วย share page ต่อ
       
และอย่าลืมนะครับว่า สิ่งสำคัญคือ สินค้าของเรานั้น คนที่ไม่ได้กด like จะยังไม่เห็น หมายความว่า ถ้าเราต้องการ impression เยอะ ๆ เราก็ต้อง draw คนให้มากด like ก่อน ต่อให้กด like ไป ก็ใช่ว่าจะคงอยู่ถาวร เขาอาจจะไม่ชอบเรา ไม่ชอบ สินค้าเรา แล้วก็ unlike ไปก็ได้ ต่อให้คนที่ like มาด้วย campaign การ draw คนของเรานั้น ก็ไม่แน่ว่าจะได้ "คนที่่อยากซื้อสินค้าของเรา" อีกต่างหาก
       
เราได้รู้ว่าการ share หรือ reach product ของเรานั้นมี value จริงแค่ไหน? page นั้นกระจายออกไปได้ง่ายครับ เมื่อมีจำนวน like ที่เพียงพอ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้หมายความว่า เราจะได้รูู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน บางทีแล้ว ตัวหนึ่งอาจจะไปไกลมาก ๆ ตัวหนึ่งอาจจะไม่ไปเลย แต่ถ้า คุณขายผ่าน profiles account หล่ะก็ จะเห็นกันชัด ๆ ก็คราวนี้แหละ เพราะอะไรนั้น? เดี๋ยวเราไปดู mechanic ที่เราจะใช้กันดีกว่าครับ
       

งั้นเรามาเริ่มกันแบบง่าย ๆ ก่อนแล้วกันครับ
       
อันดับแรกเลยเราควรทราบก่อนว่า ลูกค้าของเรา และ กลุ่มเป้าหมายของเรานั้นคือ เพื่อน ๆ ของเราเท่านั้น ๆ เขาทั้งหลายเป็นคนรู้จัก ของเรา ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ดังนั้นเราควรจะรู้รสนิยมหรือความสนใจคร่าว ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นการเลือก product ที่จะเอามาขายนั้น ต้องทำการบ้านกันนิดนึง ไม่ใช่สักแต่ว่า "ถูกเลยจะขาย" ยิ่งเป็นคนใกล้ตัว เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก สินค้าที่จะขายได้นั้น ต้องมีคุณภาพที่ดี และราคาที่เหมาะสม นี่เป็นการพิสูจน์ channel ในการหาสินค้าของเราอีกทางหนึ่งครับ
  • ถ้าเราเอาสินค้าที่เหมือน ๆ กับ คนอื่นมาขาย แต่ดันขายแพงกว่า แล้วใครจะไปซื้อคุณ?
  • เพื่อนก็กระดากปากที่จะต่อ
  • ต่อให้ "ช่วยซื้อ" ก็แค่ครั้งแรกครั้งเดียว
  • ถ้าสินค้าดีจริง มีคุณภาพจริง ไม่ต้องไปกลัวครับ มันขายได้แน่นอน
  • แต่นั่นหมายความว่า คุณต้องหาของมาตรงรสนิยมด้วยนะ
แต่สำหรับคนที่มี friend ใน Facebook เยอะ แล้วก็เป็นการ add มาเพราะ game หรืออะไรก็ตามแต่ แบบนี้เราง่ายหน่อยครับ เพราะว่า เราสามารถเลือก product มาสุ่มลองตลาดได้เลย แถมได้ impression เยอะกว่าแบบ friends น้อยด้วย

ในเมื่อแบบเพื่อนเยอะ หาของง่ายกว่า แถม คนเห็นก็เยอะกว่าด้วย แล้วแบบเพื่อนน้อยดีกว่าอย่างไร?
เราได้ฝึกการประเมินของครับ สำหรับการขายของ online ที่ไม่ได้เจอหน้ากับลูกค้า เราไม่ได้คุยอะไรกับเขา เราไม่ได้เห็นหน้าค่าตา เราไม่เห็นรสนิยมว่าเขาสนใจตัวไหน? เราไม่มีโอกาศฝึกเลยครับ แต่การได้ค่อยเลือกสินค้าที่สำคัญที่สุด คนน่าจะซื้อที่สุด มีค่าที่สุด เพราะถ้าเราเลือกไม่ดี รับรองว่าเสียเวลา และ เสียโอกาศครับ ที่เหนืออื่นใดคือ "โอกาสสร้างความประทับใจครั้งแรก มีแค่ครั้งเดียว"
      
เริ่มต้น "ขาย" กันเลยดีไหม?
บอกว่าขาย แต่จริง ๆ แล้วมันคือการ pre order ครับ การทำตลาดแบบนี้มีข้อดีคือไม่ต้องเอาทุนไปจม ไม่ต้อง stock ของ ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงครับ นั่นคือข้อดี ส่วนข้อเสียคือ
      
       "ถ้าเลือกสินค้ามาไม่ไดีจริง ขายไม่ออก และ หน่วยที่ขายได้น้อยครับ"
      
ตอนนี้มีสินค้าที่อยากขายในใจกันแล้วใช่ไหมครับ? ปรกติแล้วเวลาเราไปดู ร้านค้า เขาจะถ่ายให้หลาย ๆ มุม เห็นภาพสินค้าเต็มที่ใช่ไหมครับ? แต่ถ้าคุณจะเริ่มขายแบบ limited บน Facebook แล้วหล่ะก็ ลืมมันไปได้เลยครับ เราขายแบบ limited เราขายแบบ สินค้ามีจำกัด เราไม่ต้องลงให้ครบขนาดนั้นครับ เรา "ขาย" ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้นแล้ว รูปเดียว ๆ เลยครับ เอาภาพชัด ๆ สวย ๆ สักรูป ถ้าให้ดี มีนายแบบ หรือ นางแบบ อยู่คู่รูปด้วย จะทำให้เห็นภาพสินค้าจริงง่ายขึ้นครับ
      
เมื่อคุณ share รูปพวกนี้ไป ไม่ต้องไป tag ใครให้เกิดความรำคาญ แต่ share ออกไปธรรมดานี่แหละครับ เดี๋ยวเพื่อน ๆ เราจะเห็นเองครับ เพียงแต่ว่า การ share นั้น คำนึงถึงสองอย่าง
      
  1. ช่วงเวลา ถ้าคุณ post ตอนตีห้า แต่เพื่อน ๆ คุณ active กันตอนสามทุ่ม ก็คงไม่เกิดผลครับ ดูช่วง primtime ในการ post ด้วย
  2. หัวข้อภาพที่เหมาะสม ถ้ามันไม่น่าสนใจ ก็ไม่มีใครกดดูของคุณแน่นอน
นอกจากนี้ เราแค่ share จากภาพเดิม ก็สามารถวนมารับ order อีกครั้งก็ได้ เพราะว่า มีบางคนที่อาจจะไม่เห็น
      
ปรกติแล้ว เราสามารถบอกได้เลยครับว่า "สินค้า xxxx ลงชื่อ pre order ที่ใต้ภาพได้เลย" แต่ถ้าแค่นั้น ผมคงไม่แนะนำให้ใช้ Facebook ครับ เพราะคุณควรทราบว่า Facebook นั้น มี impression ที่เพิ่มขึ้น ขยายไปในวงกว้างได้เหมือนคลื่นครับ
      
Facebook นั้นมันไม่จบแค่ว่า เรากับเพื่อน เห็นกันเท่านั้น ทุกวันนี้มันจะคอยบอก update ว่าเพื่อนเรา ๆ ทำอะไร ใครไป comment ภาพใคร like อะไรมันก็จะบอกหมดครับแถมยังแสดง activity ที่ต่อเนื่องกันไปได้อีก เช่น 
  • เราเป็นคนขาย
  • A เป็นเพื่อนของเรา แล้วเขาสั่งจองสินค้า
  • B เป็นเพื่อนของ A แต่ไม่ได้เป็น friends ของเรา
  • B จะเห็นว่า A มา comment สินค้าของเราได้ และถ้าเขาสนใจ เขาก็กดตามมาเอง
  • ถ้า B ลงชื่อด้วย C ที่เป็นเพื่อน B ก็จะเห็นอีก มันจะส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ ครับ
      
แน่นอนว่า โผล่ใน feed ของเพื่อน ๆ แต่ละคนส่งผลเป็นทอด ๆ ไปเลย แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นแค่เวลาเดียวกันด้วย มันขึ้นตาม hilight แยกเวลากัน
      
ถ้ามีคนสนใจมาก ๆ อย่ายืดเวลาปิดรับ order ไปนะครับ เป็นวิธีการที่แย่มาก แสดงออกให้เห็นว่า "โลภ" แล้ว ลูกค้าจะขาดความเชื่อถือไม่ซื้อกับเราอีก
  • ถ้าคุณกำหนดไว้ว่า 15 ชิ้น ก็จบที่ 15 ชิ้น
  • ถ้าคุณจบไว้ว่า 7 วัน ก็จบที่ 7 วัน อย่าไปยืดออกอีกเป็นอันขาด
      
แล้วก็ไม่ต้องรีบเปิดรอบสองเชียวนะ ถ้าคุณเปิดรอบสอง โดยที่รอบแรกยังส่งของไม่จบ ก็ไม่ต่างกัน
      
คุณอาจจะประกาศได้ว่า "รอบสองอาจจะเปิดรับใหม่ แต่ขอ clear order กับรอบแรกให้หมดก่อน" ถ้าคุณส่งของแล้ว ก็บอกคนที่จองไปเลยครับว่า "ได้ของแล้ว รบกวนถ่ายรูปมาบอกด้วยนะว่าได้แล้ว คนขายจะได้สบายใจว่า ไม่มีใครตกหล่น หรือได้ของช้า"
      
เท่านี้ คุณจะได้นางแบบจำเป็นมาโฆษณาสินค้าให้คุณกันไม่หมดเลยทีเดียว
      
อ่านแล้วสนุกไหมครับ? อยากทำไหม? ถ้าอยากเริ่มแล้วหล่ะก็ อย่าเพิ่งครับ อย่าเพิ่งไป อ่านข้อแนะนำเพิ่มเติมก่อน


      
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
  1. เพื่อประโยขน์สูงสุด ควรตั้งให้ profiles เป็น public หรืออย่างน้อย post ที่เราขาย เป็น public ให้คนเห็นได้ทุกคน และ ลงชื่อจองด้วยได้
  2. ควรกำหนดระยะเวลาในการ pre order ขั้นต่ำ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่า ได้ของเร็วทันใจ ไม่ต้องรอนาน เช่น "ระยะเวลา pre lot แรก 7 วัน ของถึงมือ ภายใน 10 วัน ถ้าโอนเงินครบ 10 order ส่งของงวดแรกเลย" เป็นต้น
  3. ใช้ profiles Facebook ของตัวเองขายได้ครับ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน สำรวจตลาด และ ขีดความสามารถของตัวเองก่อนครับ
ถ้าขายดี ขายสนุก อยากใช้ fanpage ขายบ้างหล่ะก็บอกทาง บ.ก. เขาแล้วกันครับ เขาจะได้ให้โอกาสผมมาเขียน "บริหารร้านค้าด้วย fanpage" ต่อ ไปจนถึง "จับ online มาชน offline ด้วย Facebook"

ขอบคุณ : thaimarketpress.com 
โดย : theprincesstown

0 comments:

Post a Comment